รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงของทั้งสองทีม
ทีมชาติอังกฤษ นำทัพมาโดย แกเร็ธ เซาธ์เกต ในการแข่งขันครั้งนี้ได้มีการสับเปลี่ยนผู้เล่นในหลายตำแหน่ง ในเกมนี้ยังคงมาในแผนการเล่นแบบ 4-3-3 โดยมี นายทวาร – นิค โป๊ป ปราการหลัง –ไทริค มิตเชลล์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ไทโรน มิงส์ และเบน ไวท์ กองกลาง – จู๊ด เบลลิงแฮม, เดแคลน ไรซ์ และ เจมส์ วอร์ด-เพราส์ กองหน้า – ราฮีม สเตอร์ลิง, แจ็ค กรีลิช และ โอลลี่ วัตกิ้นส์
ทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ผู้จัดการทีมอย่าง ปาทริซ โบแมลล์ มาในแผนการเล่นแบบ 4-2-3-1 มี นายทวารยังคงเป็น บาดรา ซ็องกาเร่ ปราการหลัง –แซร์ช โอริเย่ร์, ไซมอน เดลี, เอริค ไบยี่ และฮัสซาน กามาร่า กองกลาง – ฟร้องค์ เกสซีเย่, ฌอง มิเชล เซรีนิโกล่าส์ เปเป้, แม็กซ์เวล กอร์กเน่ต์, แม็กซ์-อแล็ง กราเดล โดยทิ้ง เซบาสเตียง อัลแลร์ อยู่หน้าเป้าคอยหาจังหวะทำประตู
กรรมการเป่านกหวีดเริ่มเกมมาได้ในช่วงแรก ต่างฝ่ายต่างไม่มีโอกาสทำประตูก่อนเพื่อขึ้นนำ แต่ยังคงผลัดกันรุกผลัดกันรับทั้งสองทีม
เริ่มเกมมาได้ 15 นาที เป็นฝั่งเจ้าบ้านอังกฤษ เกือบจะได้ประตูขึ้นนำไปก่อน จากจังหวะที่ จู๊ด เบลลิงแฮม หลุดเดี๋ยวเข้าไปซัดประตู แต่โดน บาดรา ซ็องกาเร่ ผู้รักษาประตูของไอวอรี่โคสต์ สามารถป้องกันเอาไว้ได้
หลังจากโอกาสของ อังกฤษ ได้ไม่นาน กลับมามีลุ้นอีกครั้งในนาทีที่ 20 จากจังหวะ แจ็ค กรีลิช หาช่องแล้วกดบอลเรียดเข้ามา แต่โดนทางด้า บาดรา ซ็องกาเร่ รับเอาไว้ได้
ต่อมาในนาที 30 เป็นฝั่งอังกฤษ ที่ได้ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 จากจังหวะ ราฮีม สเตอร์ลิง โชว์ความสามารถเฉพาะตัวสับขาหลอกผู้เล่นของไอวอรี่โคสต์ ก่อนที่จะเปิดบอลไปให้ โอลลี่ วัตกิ้นส์ ที่วิ่งเข้ามายิงบอลเข้าประตูไปอย่างสบายๆ
ต่อมาในนาทีที่ 40 ไอวอรี่โคสต์ ถือว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก เมื่อต้องเหลือนักเตะเพียง 10 คน เมื่อ แซร์ช โอริเย่ร์ ได้ใบเหลืองใบที่สอง ไล่ออกจากสนามไป เนื่องจากแสดงอาการไม่พอใจคำตัดสินของกรรมการ
ต่อมาในนาทีที่ 45 อังกฤษ ได้ประตูที่สองทิ้งห่างออก จากจังหวะ ราฮีม สเตอร์ลิง ซัดในจังหวะแรกแต่ไปบอลดันไปติดเซฟของทางด้าน บาดรา ซ็องกาเร่ บอลกระเด็นไปเข้าทางของ แจ็ค กรีลิช หาจังหวะเปิดบอลมาให้กับ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ทิ้งตัวยิงเข้าประตูไป ช่วยให้อังกฤษ ขึ้นนำไปเป็น 2-0
หมดเวลาในครึ่งแรก อังกฤษ ออกนำ ไอวอรี่โคสต์ ไป 2-0
เริ่มเกมในช่วงครึ่งหลังทาได้46 นาที ไอวอรี่โคสต์ มีโอกาสลุ้นประตู จากจังหวะยิงไกลของ ฟร้องค์ เกสซีเย่ แต่ นิค โป๊ป ผู้รักษาประตูของอังกฤษรับเอาไว้ได้
ต่อมา ไอวอรี่โคสต์ เกือบเสียประตูอีกครั้ง เมื่อผู้ตัดสินให้อังกฤษ ได้จุดโทษ จากจังหวะที่ ฟุสเซนี คูลิบาลี่ ทำฟาวล์ จู๊ด เบลลิงแฮม แต่หลังจากที่ผู้ตัดสินไปดู VAR แล้ว ก็กลับคำตัดสินไม่ให้จุดโทษ
เกมเดินมาถึงในนาทีที่ 62 ทัพสิงโตคำราม ขอเปลี่ยนตัวนักเตะหลายคน โดยส่ง แฮร์รี่ เคน ลงไปเล่นแทน โอลลี่ วัตกิ้นส์, เอมิล สมิธ โรว์ ลงไปเล่นแทน แจ็ค กรีลิช, ฟิล โฟเด้น ลงไปเล่นแทน ราฮีม สเตอร์ลิง และ ลุค ชอว์ ลงไปเล่นแทน ไทริค มิตเชลล์
หลังจากนั้นเกมเดินไปอย่างไม่มีอะไรที่หวือหวา ถึงแม้ว่า อังกฤษ จะมีโอกาสทำประตูได้มากกว่า แต่ก็ยังทำประตูเพิ่มไม่ได้
จนเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 90+3 อังกฤษ มาได้ประตูเพิ่มเป็น 3-0 จาก ลูกเตะมุม โดย ฟิล โฟเด้น เปิดบอลเข้ามาตรงกลางประตู และเป็นทางด้าน ไทโรน มิงส์ ที่ขึ้นโขกบอลเข้าประตูไป
จบเกม ทีมชาติอังกฤษ เอาชนะ ไอวอรี่โคสต์ ไปแบบขาดลอย 3-0 ในเกมอุ่นเครื่อง โดยอังกฤษ ได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายในศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ แล้ว ซึ่งจะมีการจับสลากแบ่งกลุ่มกันในวันศุกร์ที่ 1 เมษายน ที่จะถึงนี้ ส่วนทางด้าน ไอวอรี่โคสต์ ตกรอบ
